“Mae Hong Son Loop”
เมื่อวันที่ 11-15 เมษายน 2548 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนรวม 4 คนที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยตั้งใจว่าจะเที่ยวตาม hi-light การท่องเที่ยวบนเส้นทางถนนหลักของจังหวัดที่เป็นถนนเส้น 1095 และ 108 ที่เชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียวและวนกลับมายังจุดเริ่มต้นเดิมคือ จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นที่มาของคำว่า Mae Hong Son Loop ข้างต้น ที่กล่าวมานี้ไม่เป็นที่แนะนำเลยครับสำหรับการเดินทางลักษณะนี้ โดยส่วนตัวผมคิดว่าทำให้ไม่สนุกเท่าที่ควร ทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกอยู่มากทีเดียว แต่คิดว่าน่าจะดีกว่านี้หากไม่เน้นการทำ loop ที่ว่ามากเกินไป
จุด hi-light หลักของ trip นี้ก็คือ เมืองปาย และเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งก็อีกนั่นแหละคงจะดีกว่านี้แน่หากไปเยี่ยมเยียนในช่วงฤดูหนาว แต่เอาเหอะไปครั้งนี้ผมได้ข้อคิดที่จะขอบันทึกไว้สองสามข้อดังนี้ครับ (ซึ่งไม่เกี่ยวกับการไปเที่ยวครั้งนี้นัก)
1. ผมพบว่าผมเกลียดอาชีพพ่อค้าหรือนักธุรกิจที่หากำไรมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ผมเกิดอยู่ดีๆ ช่วงนี้ไม่ชอบอาชีพพ่อค้านักธุรกิจเข้าไส้เหลือกำลัง เหตุผลก็เพราะสาเหตุส่วนตัวที่ผมต้องเลิกกับแฟนเพราะผมไม่สามารถช่วยส่งเสริมแผนการธุรกิจของเขาได้ดีนักเมื่อเทียบกะอีกคนหนึ่ง โดยเฉพาะผมมีความตั้งใจจะเป็นอาจารย์ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ทำให้เราเข้ากันไม่ได้ นี่ยังไม่รวมถึงดวงที่ไม่สมพงศ์กันอีกนะครับ
“ของซื้อของขายจะมายกกันให้ง่ายๆ ได้ที่ไหน”
คำพูดนี้จึงแวะเวียนเข้ามาในความคิด ซึ่งครั้งนึงก็ได้เคยทบทวนและคิดว่ามันเริ่มจะไม่สมเหตุสมผลซักเท่าใดนัก ทั้งที่แต่ก่อนตอนเด็กๆ นั้นออกจะเห็นดีเห็นงามกับคำๆ นี้และเห็นว่าเป็นความจริงอย่างที่สุด แต่วันนี้ผมเห็นว่ามันเหลวไหล จอมปลอม และเป็นคำอ้าง สักแต่อ้างไปก็เท่านั้น ตามความคิดแล้วคำนี้เป็นคำอ้างจากพวกพ่อค้าคนจีนที่ก็อ้างเพื่อจะเอาของค้าขายทำกำไร ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร
พาลทำให้ผมคิดต่อไปว่านี่เอง ความที่พวกพ่อค้าหากำไรเป็นนิจ ไม่มีคุณค่าอะไรทางสังคม ในที่นี้หมายถึงคุณค่าที่เปรียบเทียบได้กับ ความเสียสละ ความดี ความอดทน หรือคุณธรรมอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน พ่อค้าจึงเป็นชนชั้นที่ไม่มีเกียรติ เมื่อเทียบกับ กษัตริย์ นักรบ พระ นักบวช หรือพราหมณ์ ในวรรณะของอินเดีย พาลนึกต่อไปถึงศาสนาอิสลามที่กำหนดให้การคิดดอกเบี้ยเป็นบาป (อันนี้ฟังมาไม่รู้จริงหรือป่าว) ทำให้นึกทึ่งในความรอบรู้ และกุศโลบายอันแยบยล
โดยสรุปก็คือ ผมจึงเกิดรังเกียจอาชีพพ่อค้าและคล้อยตามกับความเห็นของคนสมัยก่อนที่เคยได้ฟังมาว่ารังเกียจอาชีพพ่อค้าว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติเป็นอย่างมาก
2. ผมพบว่าควรจะได้มีการส่งเสริมองค์กรหรือนิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไรให้สามารถเติบโตและมีศักยภาพในการดำเนินกิจกรรมของตนให้มากกว่าที่เป็นอยู่ จนอาจจะถือให้เป็นยุทธศาสตร์หลักของชาติเลยก็ว่าได้ เพ้อเข้าไปนั่น แต่ผมก็คิดอย่างนั้นจริงๆ
ข้อนี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากผมได้ไปสะกิดใจกับคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งในทริปนี้ที่พูดว่า
“คนบ้านนอกนั้นหากไม่เข้ามาในเมืองหางานทำแล้ว การอยู่ที่บ้านของพวกเขานั้นเป็นเพียงการตื่นขึ้นมาหายใจเท่านั้น อย่างมากก็ไปตกปลามาตัวหนึ่งทำกับข้าว หรือปลูกต้นไม้ ทำไร่ นิดหน่อย”
ผมจึงสำรวจความคิดตัวเองแล้วพบว่า หากเป็นเมื่อก่อนผมก็จะเห็นด้วยกับความเห็นนี้ แต่ตอนนี้ผมเกิดสงสัยว่าการตื่นขึ้นมาหายใจมันไม่ดีตรงไหน การทำอะไรที่คนบางคนเห็นว่าเล็กน้อยด้อยค่า เช่นตกปลาตัวเดียว หรือทำไร่นิดหน่อย ที่ว่ามันไม่ดีจริงๆ หรือป่าว ซึ่งผมก็พาลเข้าใจไปเองว่าคนพูดที่เป็นคนอาชีพพ่อค้าสืบเนื่องมาจากข้อแรกคงเห็นดีกับการทำงานในเมือง หรือตกปลาก็ควรจะตกให้ได้คราวละมากๆ ทำไร่ก็ทำให้ได้ผลผลิตที่มากทำกำไรอะไรทำนองนี้
ตอนนั้นผมไม่ได้แย้งอะไรเพื่อนผมคนนั้นเลย และคิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรเพราะความเห็นที่แตกต่างอย่างนี้หาจุดสรุปได้ก็เพียงความแตกต่างเหมือนเดิม ผมจึงมานั่งคิดเองคนเดียวว่าไม่เห็นด้วย และคิดว่าไม่ถูกต้องที่ไปตีค่าให้ราคาการกระทำที่ว่าให้ด้อยค่าเช่นนั้น แต่กลับเห็นว่าการกระทำที่ด้อยค่าเช่นนั้นกับสอดคล้องกับอารยธรรมแบบยูโทเปีย (มีเกร็ดเล็กๆ ว่ามีการเรียกเมืองปายว่า “ยูโทปาย” ครับ) ที่บ้านเมืองมีความสงบสุข ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันทรัพยากรมีให้ใช้เหลือเฟือ
ข้อนี้เข้าใจว่ามีหลายคนต้องแย้งว่ายูโทเปียอีกแล้ว มันทำได้เพราะคนมันน้อยหรอก ถ้าคนเยอะต้องแก่งแย่งแข่งขันการใช้ทรัพยากร การทำอย่างนั้นไม่ทันคนอื่นๆ เขาหรอก แต่ผมในตอนนี้กลับมองว่ายูโทเปียไม่ใช่เรื่องเกินจริงนะครับ มันออกจะสอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงซะด้วย เราไม่มีความจำเป็นต้องโหมสูบทรัพยากรมาใช้
ในขณะที่คนเมืองสูบเอาทรัพยากรส่วนใหญ่ไปใช้ จะอธิบายอย่างไรว่าเป็นการใช้ทรัพยากรที่จำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ หรือว่ามีประสิทธิภาพสำหรับคนไม่กี่คน ข้อนี้คงเถียงกันได้ไม่จบ จึงขอสรุปตรงที่เห็นว่า
“เพียงการตื่นหายใจก็มีคุณค่ามากกว่าพวกกอบโกยอย่างพ่อค้าเป็นต้นครับ”
3. ผมพบว่าการส่งเสริมการค้า การค้าเสรี การกระจายรายได้ และ GDP ไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยส่วนรวมทั้งหมดอย่างที่สุด และไม่เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของประชาชนทั้งหลายอีกด้วย
ข้อนี้ขอพูดสั้นๆ ก็เพราะสาเหตุที่คนทุกคนนั้นไม่สามารถพิจารณาได้ว่ามีความสามารถในการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรและผลิตได้เท่ากันจริง fair trade ไม่อาจเกิดขึ้นจาก free trade ได้เลย เพราะฉะนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่สามารถพิจารณาได้ว่ามีคุณมีโทษตามดัชนีค่าวัดหยาบกระด้างเช่นนั้น
นอกจากนี้ยังพาลนึกไปถึงเรื่อง market ที่พวกพ่อค้าต้องใช้ เกิดให้สงสัยว่าจะดีมั้ยน้อ หากนักวิชาการทาง market หรือคนที่เก่งๆ ด้านนี้จะมารวมตัวกันทำงานสร้าง market ที่เป็นประโยชน์มากกว่าการขายของ กล่าวคือ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสร้าง brand ทำ market ที่จะทำให้ประชาชนทุกคนเห็นดีเห็นงามในการทำความดี ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จะสามารถส่งผลลดอาชญากรรม ยาเสพติด และอุบัติเหตุได้หรือไม่
P. Bunara
18 เมษายน 2548
Thursday, February 02, 2006
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment